วันเสาร์, ตุลาคม 4, 2025
หน้าแรกการเมืองยกแรก ‘ทีมเศรษฐกิจอนุทิน’ ปล่อยหมัดเด็ด โยกงบกลางฯ 5.7 หมื่นล้าน ทันก่อนเส้นตาย!

ยกแรก ‘ทีมเศรษฐกิจอนุทิน’ ปล่อยหมัดเด็ด โยกงบกลางฯ 5.7 หมื่นล้าน ทันก่อนเส้นตาย!

กดที่นี่เพื่ออ่านข่าว

ยกแรก ‘ทีมเศรษฐกิจอนุทิน’ ปล่อยหมัดเด็ด โยกงบกลางฯ 5.7 หมื่นล้าน ทันก่อนเส้นตาย!

 

1 ตุลาคม 2568 หลังการแถลงนโยบายรัฐบาลสองวันที่ผ่านมา ทันทีที่ปิดการประชุมรัฐสภา รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ก็ประชุมคณะรัฐมนตรี นัดพิเศษ ที่รัฐสภา ในช่วงค่ำ วานนี้ เป็นเบื้องหลังความสำเร็จของ #ทีมเศรษฐกิจอนุทิน วันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา โดยสามารถ #จัดสรรงบกลางปี 2568 วงเงินกว่า 57,000 ล้านบาท #ได้สำเร็จก่อนเส้นตาย เพียงไม่กี่ชั่วโมง เพื่อ “รองรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ” ตามนโยบายของรัฐบาล

.

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ทีมเศรษฐกิจได้เตรียมความพร้อมล่วงหน้าอย่างรอบคอบ โดยหารือกับหน่วยงานเศรษฐกิจต่าง ๆ เพื่อให้การอนุมัติงบเป็นไปอย่างราบรื่น ภายใต้กรอบเวลาที่จำกัด

.

งบประมาณดังกล่าวถูกจัดสรรเพื่อใช้ใน 2 โครงการหลัก ได้แก่

#เติมเงินให้ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สำหรับผู้มีรายได้น้อย 13.4 ล้านคน

 

#ชำระหนี้ให้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องรองรับนโยบายพักหนี้เกษตรกรและลูกค้ารายย่อย

.

เป็นที่ทราบว่ารัฐบาลมีกรอบงบประมาณรายจ่ายปี 2569 รวม 3.78 ล้านล้านบาท แต่วงเงินสำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรงกำหนดไว้เพียง 25,000 ล้านบาท การใช้เงินงบกลางปี 2568 ที่เหลืออยู่เกือบ 6 หมื่นล้านบาท จึงเป็นความสำเร็จสำคัญในการเร่งเครื่องเศรษฐกิจระยะสั้น

.

การประชุมครม.นัดพิเศษเกิดขึ้นภายใต้ข้อกำหนดตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 41–42 ที่ระบุว่า งบประมาณต้องถูกใช้ภายในปีงบประมาณที่อนุมัติ หากไม่ใช้งบผูกพันตามกฎหมายหรือมติ ครม. เงินงบกลางที่เหลือจะต้องส่งคืนคลัง การอนุมัติวงเงินก่อนเส้นตายจึงถือเป็นการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ที่แสดงให้เห็นฝีมือของ “ทีมเศรษฐกิจอนุทิน”

.

นายเอกนิติ กล่าวถึงนโยบายเศรษฐกิจเร่งด่วนของรัฐบาล โดยย้ำว่าหลักคิดสำคัญคือ “กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” เพื่อดึงเศรษฐกิจไทยที่กำลังชะลอตัวรุนแรงออกจากภาวะติดหล่ม ภายในกรอบเวลา 4 เดือน

 

โดยปรียบเศรษฐกิจไทยเหมือน “รถติดหล่ม” โดยเครื่องยนต์หลักอย่างภาคส่งออกและการลงทุนเอกชนอ่อนแรง กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดต่ำกว่า 60% ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนเริ่มติดลบในเดือนกรกฎาคม 2568 ทำให้เหลือเพียงการใช้จ่ายภาครัฐเป็นตัวขับเคลื่อน

.

รัฐบาลจึงตั้ง “5 เสาหลัก” ในการฟื้นเศรษฐกิจ ดังนี้

 

#กระตุ้นเศรษฐกิจและท่องเที่ยว

โครงการ “#คนละครึ่งพลัส” จะเพิ่มวงเงินสมทบให้ประชาชนและผู้ประกอบการรายเล็ก เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและเข้าสู่ระบบภาษี ขณะเดียวกัน จะมีมาตรการภาษีสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมในเมืองรอง เพื่อกระจายประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

.

#แก้หนี้ครัวเรือน

ใช้เงินกองทุนฟื้นฟูฯ กว่า 26,000 ล้านบาท ตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ NPL ยืดระยะเวลาผ่อนชำระ ลดดอกเบี้ย และพัฒนาโครงการสินเชื่อตามความเสี่ยง (ARI Score) ให้เข้าถึงประชาชนรายย่อย

.

#เสริมสภาพคล่องSME

เตรียมวงเงินค้ำประกันผ่าน บสย. ขั้นต่ำ 50,000 ล้านบาท พร้อมมาตรการ Supply Chain Financing กระตุ้นให้ธุรกิจใหญ่ช่วยรายย่อย และเร่งคืนภาษีค้างเข้าสู่ระบบ

.

#เพิ่มการออมของประชาชน

เชื่อมโยงการออมเข้ากับการซื้อสลากออนไลน์และพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาล เพื่อสร้างเงินออมระยะยาว พร้อมสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ลงทุนระยะยาว

.

#สร้างอุตสาหกรรมอนาคต

ส่งเสริมการลงทุนในเกษตรชีวภาพ, Smart Farming, ดิจิทัล, AI และรถยนต์ EV พร้อมเร่งพัฒนาทักษะแรงงานด้วยกองทุน 10,000 ล้านบาท และโครงการ “Fast Pass Plus” เพื่อปลดล็อกเงินลงทุนที่ยังไม่ได้เริ่มโครงการ มูลค่ากว่า 470,000 ล้านบาท

 

นายเอกนิติ ระบุว่า ตัวชี้วัดความสำเร็จคือ GDP ไตรมาส 4 ต้องเกิน 0.3% หนี้ครัวเรือนต้องต่ำกว่า 87% ของ GDP และเม็ดเงินลงทุนของบีโอไอต้องเกิดขึ้นจริงในระบบเศรษฐกิจ

 

“หากไม่ใช้เครื่องยนต์เดียวที่เหลืออยู่ เศรษฐกิจจะไม่เพียงติดหล่ม แต่เสี่ยงดิ่งเหว ความเสียหายแก้ไขยาก”

.

ทั้งนี้ การประชุมครม.นัดพิเศษ ข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ผยว่า การจัดสรรงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลนายอนุทิน ถูกวางแผนล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี โดยประสานงานกับรัฐสภาเพื่อขอแถลงนโยบายในวันที่ 29–30 กันยายน ก่อนที่จะประชุมครม.นัดพิเศษในวันที่ 30 กันยายน โดยนายเอกนิติ ได้เร่งหารือกับหน่วยงานเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงบประมาณ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง เพื่อตรวจสอบข้อกฎหมายและเตรียมความพร้อมให้การจัดสรรงบกลางปี 2568 สำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจดำเนินไปได้ทันเวลา

.

งบประมาณกว่า 57,000 ล้านบาท ถูกจัดสรรออกเป็นสองส่วนหลัก:

 

22,780 ล้านบาท ให้กองทุนประชารัฐสวัสดิการ เพื่อเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแก่ผู้มีรายได้น้อย 13.4 ล้านคน เดือนละ 850 บาท เป็นเวลา 2 เดือน (พ.ย.–ธ.ค.) เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

 

35,960 ล้านบาท โอนให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตามมาตรา 28 ของพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและรองรับนโยบายพักหนี้รายย่อย

 

การบริหารจัดการงบกลางฯ ที่เหลืออย่างแม่นยำและถูกต้องตามกฎหมายครั้งนี้สะท้อนฝีมือของนายเอกนิติ ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล และแสดงให้เห็นว่าการเลือกบุคคลบริหารงานด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีเป็นไปอย่างเหมาะสมในสถานการณ์ที่มีข้อจำกัดทั้งด้านเวลาและงบประมาณ

 

แม้ว่าการจัดสรรงบกลางฯ จะผ่านไปอย่างราบรื่น แต่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะถัดไปยังถือเป็นความท้าทายของนายกฯ อนุทิน และทีมเศรษฐกิจ ที่จะทำให้แนวทาง “Quick Big Win กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” ประสบผลสำเร็จจริง

.

#Thaitribune

Ad 1
Ad 2