FTA ไทย-จีน กับดักตอกฝาโลงให้เกษตรกรรายย่อยของไทย
โดย นายธนกฤต เจียรวัฒนากร ประธานองค์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุรินทร์
กว่า 20 ปีที่ประเทศไทยลงนามในความตกลงการค้าเสรีไทย-จีน (FTA Thai-China) โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายตลาดสินค้าและเพิ่มมูลค่าการส่งออก โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่ถือเป็นจุดแข็งของไทย ทว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม้จะมีภาพความสำเร็จบางช่วงของการส่งออก เช่น ทุเรียน มังคุด และลำไย แต่เมื่อมองให้ลึกและรอบด้าน คำถามที่ต้องตั้งคือ “FTA ฉบับนี้ ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับสิ่งที่เกษตรกรไทยต้องสูญเสียไปหรือไม่?”
การขาดดุลการค้าที่เพิ่มขึ้น ภาพใหญ่ที่น่ากังวล
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า แม้ไทยจะส่งออกสินค้าเกษตรไปจีนได้เพิ่มขึ้นหลังมี FTA โดยเฉพาะผลไม้สด แต่ในเชิงปริมาณและมูลค่ารวมแล้ว ไทยกลับขาดดุลการค้ากับจีนอย่างต่อเนื่อง โดยในปีล่าสุด ไทยนำเข้าสินค้าจากจีนมากกว่าส่งออกถึงหลายแสนล้านบาท สินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นเครื่องจักร วัสดุอุตสาหกรรม และที่น่าจับตาคือ “สินค้าเกษตรต้นทุนต่ำจากจีน” ที่เข้ามาแทนที่ผลผลิตไทยในหลายตลาดภายในประเทศ
การขาดดุลการค้านี้สะท้อนว่า การเปิดเสรีทางการค้าไม่ได้ทำให้ไทยได้เปรียบเสมอไป โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมที่มีต้นทุนการผลิตสูง ขาดการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี และกระจายรายได้ไม่ทั่วถึง
ผลไม้ไทยในวิกฤต ราคาทุเรียนตกต่ำ สวนทางกับความหวัง
“ทุเรียน” ผลไม้ทองของไทยที่เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของ FTA กับจีน กำลังเผชิญกับวิกฤตในปี 2568 นี้เกษตรกรหลายรายในภาคตะวันออกออกมาเปิดเผยว่า ราคาทุเรียนตกต่ำเหลือเพียงไม่ถึง 100 บาทต่อกิโลกรัม บางแห่งขายไม่ออก แม้จะเป็นช่วงฤดูส่งออกไปจีนก็ตาม
สาเหตุหนึ่งที่สะท้อนถึงความล้มเหลวของ FTA คือ “ความไม่มีเสถียรภาพของตลาดส่งออก” เมื่อจีนมีนโยบายเข้มงวดเรื่องคุณภาพ ผลกระทบจากปัญหาล้งจีนกดราคารับซื้อ และการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้านที่สามารถส่งทุเรียนเข้าจีนได้เช่นกัน ทั้งเวียดนามและฟิลิปปินส์ ล้วนบั่นทอนขีดความสามารถของเกษตรกรไทยอย่างรุนแรง
FTA ไม่สามารถรับประกันได้ว่า ทุเรียนไทยจะมีตลาดที่มั่นคง หรือราคาที่เป็นธรรมสำหรับชาวสวน ในขณะที่เกษตรกรต้องแบกรับภาระหนี้สิน ค่าปุ๋ย ค่ายา และค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี
สินค้านำเข้าราคาถูก ภัยเงียบที่ทำลายเกษตรกรไทย
อีกด้านหนึ่งของ FTA ที่มักถูกมองข้าม คือการเปิดช่องให้สินค้าการเกษตรจากจีนทะลักเข้าตลาดไทยแบบปลอดภาษี ไม่ว่าจะเป็นกระเทียม หอมแดง ขิง หรือผักสดหลายชนิด ซึ่งมีราคาถูกกว่าสินค้าไทยถึงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากต้นทุนการผลิตในจีนต่ำ และได้รับการอุดหนุนจากรัฐอย่างเข้มข้น
ผลที่ตามมาคือ เกษตรกรไทยจำนวนมากต้อง “ล้มละลายทางอาชีพ” อย่างเงียบ ๆ ไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้ สวนผักถูกปล่อยทิ้ง พื้นที่เพาะปลูกลดลง หลายครัวเรือนต้องเปลี่ยนอาชีพ หรือเข้าสู่แรงงานรับจ้างในเมือง
FTA ที่ไม่คุ้มค่า เสียมากกว่าได้
เมื่อชั่งน้ำหนักระหว่าง “มูลค่าการส่งออก” กับ “ความเสียหายในประเทศ” คำตอบที่ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนคือ “FTA ฉบับนี้ได้ไม่คุ้มเสีย” สำหรับเกษตรกรไทย สินค้าไม่กี่ชนิดที่ได้เปรียบในการส่งออกกลับไม่ได้รับการดูแลเรื่องราคาที่เป็นธรรม หรือเสถียรภาพในระยะยาว ขณะที่สินค้านำเข้าทำลายเศรษฐกิจฐานรากในหลายพื้นที่โดยตรง
ภาครัฐยังไม่มีมาตรการป้องกันผลกระทบอย่างจริงจัง ทั้งในด้านการควบคุมสินค้านำเข้า การสนับสนุนต้นทุน หรือการสร้างตลาดภายในประเทศให้แข็งแรงพอจะพึ่งพาตนเองได้
ข้อเสนอเพื่อการทบทวนในอนาคต
FTA ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย หากมีการออกแบบอย่างรอบคอบและมีมาตรการปกป้องภาคเกษตรภายในประเทศควบคู่กัน การทบทวนข้อตกลงเดิม และการเจรจาต่อรองเงื่อนไขใหม่ควรมี “เสียงของเกษตรกร” เป็นหนึ่งในตัวแปรหลัก ไม่ใช่เพียงเป้าหมายด้านตัวเลข GDP หรือการเมืองระหว่างประเทศ
FTA ไทย-จีน ที่เคยถูกวาดฝันไว้ว่าเป็น “สะพานทองของสินค้าเกษตรไทย” อาจกลายเป็นกับดักที่ตอกฝาโลงให้เกษตรกรรายย่อย หากยังไม่มีการแก้ไขเชิงโครงสร้างและการทบทวนข้อตกลงอย่างจริงจัง ชาวสวนไทยไม่ต้องการเพียงประตูเปิดตลาด แต่ต้องการความยั่งยืนในอาชีพและชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ FTA ฉบับปัจจุบัน ยังให้ไม่ได้