วันที่เสียงปืนชุดแรกดังขึ้น
ผมรู้ทันทีว่าวันนี้จะเป็นวันที่คนทั้งหมู่บ้าน “ไม่มีวันลืมได้อีกแล้ว”
ผมประจำอยู่แนวชายแดน
เสียงปะทะระหว่างไทย–กัมพูชาดังสะท้อนเหมือนฟ้าผ่ารอบตัว
และทุกครั้งที่เสียงดังขึ้น…
หัวใจผมก็หล่นวูบ เพราะผมรู้ว่ามันหมายถึงความสูญเสียบางอย่างของประชาชนที่ผมต้องปกป้อง
ไม่นานชาวบ้านก็ถูกสั่งให้อพยพ
ผมเห็นคนวิ่งออกมาจากหมู่บ้านด้วยหน้าเปื้อนฝุ่นและน้ำตา
เด็กเกาะแขนแม่แน่น
คนแก่หอบหายใจจนตัวโยน
ทุกคนมีเพียงของติดตัวคนละไม่กี่ชิ้น
เหมือนบ้านทั้งหลังถูกทิ้งไว้เบื้องหลังในพริบตาเดียว
พอถึงศูนย์พักพิง
บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงสะอื้น
ผมนั่งฟังผู้ใหญ่บ้านที่เดินเข้ามาพร้อมสีหน้าของคนที่เจ็บปวดจนแทบพูดไม่ออก
เขาบอกกับทุกคนว่า…
“บ้านหลายหลัง… ไม่เหลือแล้วนะลูก”
ประโยคนั้นทำให้ทั้งเต็นท์เงียบจนได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน
บางคนทรุดลงกับพื้น
บางคนร้องไห้จนมือสั่น
บางคนพูดออกมาคำเดียวว่า
“ของในครัวฉันยังวางอยู่บนเตาเลย…”
ผมรับฟังทุกคำ
และผมรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบิดแบบช้า ๆ จนแทบขาด
แล้วข่าวหนึ่งก็ทำให้หลายคนถึงกับร้องออกมาทันที
“วัวสามตัวของครอบครัวนั้น… ไม่รอดนะ”
วัวสามตัวนั้นชื่อ
ไอ้เหมย – แม่วัวใจดี
ไอ้คุ้ม – ตัวพี่ ซื่อสัตย์ราวกับคน
ไอ้อ้วน – ตัวเล็ก ตาใสเหมือนเด็กกำลังยิ้ม
พวกเขาเลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็ก
มันไม่ใช่แค่สัตว์
แต่คือต้นทุนชีวิต
คือสิ่งที่ช่วยให้ครอบครัวหนึ่งยืนหยัดอยู่ได้
ตอนเจ้าของได้ยินข่าวว่า “มันตายหมด”
เธอกรีดร้องแบบคนที่หัวใจถูกกระชากออกไปตรงหน้า
ผมได้แต่นั่งข้าง ๆ กุมไหล่เธอไว้
แต่ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะทุกคำมันเบาเกินกว่าความเจ็บที่เธอรู้สึก
ถัดจากนั้นไม่นาน
ชายคนหนึ่งเดินมาใกล้ผม
น้ำตาคลอเหมือนกำลังฝืนสุดชีวิต
เขาพูดเบา ๆ ว่า…
“ไอ้แดง… หมาผมไม่ได้เอามาด้วย
มันรอผมอยู่ที่บ้านทุกวัน
ไม่รู้มันจะเป็นยังไง…”
ผมแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่
เพราะภาพหมาตัวหนึ่งนั่งรอเจ้าของในบ้านที่อาจพังยับ
มันบีบใจยิ่งกว่าเสียงระเบิดใด ๆ ที่ผมเคยได้ยิน
บางคนพูดถึง เป็ด ไก่ในเล้า
ที่คงแตกตื่นหนีกระเจิงตอนระเบิดลง
บางคนพูดถึง ข้าวของในบ้าน รูปครอบครัว หม้อเก่า เสื้อผ้าลูก โต๊ะไม้ที่พ่อทำเอง
ของที่ไม่แพง แต่แทนทั้งความทรงจำของชีวิตคนๆ หนึ่ง
ค่ำคืนในศูนย์พักพิงนั้น
ผมเดินผ่านเต็นท์ทีละหลัง
ได้ยินเสียงคนสะอื้น
เสียงคนปลอบกันแบบเบา ๆ
ราวกับไม่อยากให้ความเจ็บเพิ่มขึ้นไปมากกว่านี้
ทุกคนถามคำเดียวเหมือนกัน…
“ทหารครับ… เมื่อไหร่จะได้กลับบ้าน?”
ผมไม่มีคำตอบ
ผมเป็นทหาร ผมถือปืน
แต่คำถามนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเล็กเหลือเกิน
เล็กจนรู้สึกว่าปืนในมือยังช่วยอะไรเขาได้ไม่พอ
ก่อนผมจะเดินจากเต็นท์
หญิงชราคนหนึ่งจับมือผมไว้แน่นจนมือผมสั่น
เธอบอกด้วยเสียงที่พร่าเพราะร้องมาทั้งวัน…
“ลูกเอ้ย… ฝากพวกเอ็งช่วยให้มันจบๆทีนะ
เราอยากกลับบ้านเต็มทีแล้ว
สิ่งที่เสียไป… เราเก็บคืนไม่ได้เลย”
ผมยืนนิ่งอยู่นาน
เหมือนถูกตีด้วยความจริงครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต
และผมตอบเธอด้วยเสียงที่สั่นไม่ต่างกันว่า…
“ผมสัญญาครับยาย…
ผมสัญญากับชาวบ้านทุกคนตรงนี้
ด้วยน้ำตาที่ผมเองก็กลั้นไม่อยู่—
ผมจะทำทุกอย่างที่ผมทำได้
เพื่อให้พวกคุณได้กลับบ้าน
ไม่ว่าวันนั้นจะยากแค่ไหนก็ตาม”ทหารจะเอาให้จบ
✍️ พีระชาติ อินตา ๑๑/๑๒/๖๘



