ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ร่วมมือสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย ปฏิบัติการบุกทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวเกาหลีใต้
กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) กก.1 บก.ปอท ร่วมกับ เจ้าหน้าที่แผนกกงสุลตำรวจสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กลุ่มงานสนับสนุนฯ บก.ปอท. ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาชาวเกาหลีใต้และชาวจีน จำนวน 17 ราย ได้แก่
1. Mr.JOENGMIN LEE (ลี จองมิน) อายุ 31 ปี สัญชาติเกาหลีใต้
2. Mr.INTAE KIM (คิม อินแท) อายุ 32 ปี สัญชาติเกาหลีใต้
3. Mr.Takoon HA (ฮา แทกุน) อายุ 38 ปี สัญชาติเกาหลีใต้
4. Mr.JIYUL KIM (คิม จียุล) อายุ 32 ปี สัญชาติเกาหลีใต้
5. Mr.SUNHAN EOM (ออม-ซอน-ฮัน) อายุ 34 ปี สัญชาติเกาหลีใต้
6. Mr.JUNYEOP KIM (คิม-จุน-ย็อบ) อายุ 28 ปี สัญชาติเกาหลีใต้
7. Mr.JESUP BYEON (บยอน-เจ-ซ็อบ) อายุ 33 ปี สัญชาติเกาหลีใต้
8. Mr.EUNKYUN KIM (คิม-อึน-กยุน) อายุ 43 ปี สัญชาติเกาหลีใต้
9. Mr.SUNGGYUN KWON (คว็อน-ซ็อง-กยุน) อายุ 30 ปี สัญชาติเกาหลีใต้
10. Mr.YUL HONG (ฮง-ยุล) อายุ 29 ปี สัญชาติเกาหลีใต้
11. Mr.MUNCHEOL CHO (โจ-มุน-ช็อล) อายุ 35 ปี สัญชาติเกาหลีใต้
12. Mr.TAEHWAN LIM (อิม-แท-ฮวัน) อายุ 35 ปี สัญชาติเกาหลีใต้
13. Mr.JEONGBEEN LEE (ลี-จอง-บิน) อายุ 29 ปี สัญชาติเกาหลีใต้
14. Mr.TAEGWON LEE (ลี-แท-กวอน) อายุ 27 ปี สัญชาติเกาหลีใต้
15. Mr.MINGZHENG LIU (หลิว-หมิง-เจิ้ง) อายุ 29 ปี สัญชาติจีน
16. Mr.CAIHUA LI (อี-แช-ฮวา) อายุ 43 ปี สัญชาติจีน
17. Mr.LINHU CHE (ชา-ริน-ฮู) อายุ 35 ปี สัญชาติจีน
ในความผิดฐาน “เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน และเป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด”
ตามมาตรา 8 ประกอบมาตรา 101 แห่ง พรก.การบริหารการจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และมาตรา 81 แห่ง พรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522
พฤติการณ์ของคดี สืบเนื่องจากประเทศไทยและสาธารณรัฐเกาหลีใต้มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันมาโดยตลอด และมีแนวทางร่วมกันในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร รวมถึงให้ความร่วมมือในการสืบสวนและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่มีความเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย และ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) จึงได้ร่วมกันสืบสวนและแลกเปลี่ยนข้อมูลพบเบาะแสว่ามีกลุ่มบุคคลสัญชาติเกาหลีใต้เชื่อว่าเป็นขบวนการคอลเซ็นเตอร์หลบหนีจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามายังประเทศไทย หลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ พัทยา จว.ชลบุรี จึงได้เข้าไปตรวจค้นพบบุคคลสัญชาติเกาหลีใต้ จำนวน 4 ราย ซึ่งจากการสอบปากคำพบว่าเป็นผู้ร่วมขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ลักษณะหลอกลงทุนแชร์ลูกโซ่ โดยตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในประเทศกัมพูชา ทั้งยังใช้วิธีการแอบอ้างเป็นบริษัทรีสอร์ตชื่อดังของประเทศมาเลเซีย “Genting Malaysia” เพื่อหลอกลวงให้ประชาชนหลงเชื่อและร่วมลงทุน โดยอ้างผลตอบแทนสูง ทำให้มีผู้เสียหายชาวเกาหลีใต้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก ความเสียหายรวมทั้งสิ้น 20,160,531,817 วอนเกาหลี (KRW) หรือประมาณ 500,000,000 บาท โดยก่อเหตุตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2024 ถึงวันที่ 28 พฤษภาคม 2025 และได้หลบหนีการจับกุมมาโดยตลอด ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย มีประกาศหมายจับสากลขององค์การตำรวจสากล (Interpol Red Notice)
จากการสืบสวนขยายผลพบว่ายังมีกลุ่มผู้ร่วมขบวนการที่หลบหนีมาจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้ร่วมขบวนการคอลเซ็นเตอร์ โดยจากการสืบสวนทราบว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวได้เข้ามาหลบซ่อนตัว โดยเช่าคอนโดมิเนียม ย่านพระราม 3 และ คอนโดมิเนียม ย่านลุมพินี เพื่อเปิดเป็นสำนักงานหรือออฟฟิศในการใช้หลอกลวงเหยื่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท. จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน และขออนุมัติหมายค้นต่อศาลแขวงพระนครใต้ เพื่อเข้าทำการตรวจค้นคอนโดมิเนียม 2 แห่ง ดังกล่าว จากการตรวจค้นพบว่าพื้นที่ภายในถูกดัดแปลงเป็นห้องขนาดเล็กประมาณ 20 ห้อง แต่ละห้องมีโทรศัพท์, เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเปิดหน้าจอค้างอยู่ ซึ่งมีการแสดงผลเป็นข้อความบทสคริปต์, เอกสารสคริปต์วางอยู่ที่โต๊ะ สำหรับพูดหรือพิมพ์เพื่อใช้ในการหลอกลวงทางออนไลน์, รายชื่อเหยื่อชาวเกาหลีใต้พร้อมหมายเลขโทรศัพท์, เอกสารปลอมแอบอ้างเป็นหนังสือทางราชการของอัยการประเทศเกาหลีใต้ และบัตรประจำตัวของพนักงานอัยการของประเทศเกาหลีใต้(บัตรปลอม) ซึ่งจากการซักถามผู้ต้องหาในที่เกิดเหตุทราบว่าบทสคริปต์ดังกล่าวใช้เป็นต้นแบบในการสื่อสารหลอกลวงเหยื่อผ่านช่องทางออนไลน์ และเมื่อตรวจสอบอุปกรณ์โทรศัพท์ ที่ใช้ในการสื่อสารของผู้ต้องหา พบว่าเป็นการโทรผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP) เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารกับเหยื่อในประเทศเกาหลีใต้ โดยใช้วิธีการปลอมเป็นอัยการของประเทศเกาหลีใต้ หรือเจ้าหน้าที่รัฐของประเทศเกาหลีใต้ โทรศัพท์ข่มขู่เหยื่อโดยหลอกว่ามีคดี และหลอกให้เหยื่อโอนเงินให้กับกลุ่มคนร้าย และใช้วิธีการปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ของธนาคารของประเทศเกาหลีใต้ หลอกให้กู้เงิน และให้โอนเงินค่าดำเนินการ จากการตรวจค้นคอนโดมิเนียม ย่านพระราม 3 สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้จำนวน 10 ราย (ชาวเกาหลีใต้ จำนวน 8 ราย และ ชาวจีน จำนวน 2 ราย) และ คอนโดมิเนียม ย่านลุมพินี สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ จำนวน 3 ราย (ชาวเกาหลีใต้ จำนวน 2 ราย และ ชาวจีน จำนวน1 ราย) รวมสามารถจับกุมผู้ต้องหาทั้งสิ้น 13 ราย (ชาวเกาหลีใต้ จำนวน 10 ราย และ ชาวจีน จำนวน 3 ราย)
โดยในการเข้าตรวจค้น เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและขอทำการตรวจสอบเอกสารประจำตัวและใบอนุญาตทำงานและสอบถามผู้ต้องหาผ่านล่ามแปลภาษา ทราบว่ากลุ่มผู้ต้องหาดังกล่าวมีการลักลอกเข้ามาทำงานในบริษัทฯ ภายในประเทศไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงได้จับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวน สน.บางโพงพาง และ สน.ลุมพินี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ในส่วนของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งเชื่อว่าอาจใช้ในการกระทำความผิดหลอกลวงเหยื่อจะได้ทำการตรวจสอบและดำเนินการสืบสวนขยายผลต่อไป
จากการตรวจค้นสามารถตรวจยึดพยานหลักฐานสำคัญเพื่อตรวจสอบเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์ VoIP กว่า 50 เครื่อง, โทรศัพท์ มือถือ จำนวน 35 เครื่อง, บทสคริปต์หลอกลวงและบัตรประจำตัวอัยการประเทศเกาหลี (บัตรปลอม) และเอกสารหลายอื่นๆ อีกหลายรายการ
จากพฤติการณ์ทั้งหมด เชื่อได้ว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ใช้สถานที่นี้ในการหลอกลวงชาวเกาหลีใต้ให้หลงเชื่อและโอนเงินให้กับกลุ่มคนร้าย โดยมีการจัดเตรียมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และช่องทางสื่อสารครบถ้วนเพื่อใช้ในการกระทำความผิด และจากตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์และพยานหลักฐานเบื้องต้นยังไม่พบความเชื่อมโยงกับผู้เสียหายในประเทศไทย
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานงานกับแผนกกงสุลตำรวจ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย เกี่ยวกับข้อมูลพฤติการณ์ของกลุ่มคนร้ายดังกล่าวและความผิดที่เกิดขึ้น รวมถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนในประเทศเกาหลีใต้ เพื่อดำเนินการประสานความร่วมมือ และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
บุกทลายแหล่งผลิตในชุมพร ผสมเอง–บรรจุเอง ส่งขายออนไลน์ เกษตรกรเสี่ยงอันตราย ทั้งคน ทั้งสวน
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม พร้อมกำลังชุดปฏิบัติการที่ 4 กก.2 บก.ปคบ. ร่วมกับ เจ้าหน้าที่สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร(สวค.7) ลงพื้นที่จังหวัดชุมพร เพื่อสืบสวนและตรวจค้นร้านค้าออนไลน์ต้องสงสัย
สถานที่จับกุม พื้นที่จังหวัดชุมพร
พฤติการณ์ ในยุคที่เกษตรกรต้องเผชิญกับราคาปุ๋ยและสารเคมีการเกษตรที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น ปรากฏว่ามีผู้ไม่หวังดีอาศัยช่องทางออนไลน์จำหน่าย “ปุ๋ยปลอม” และ “วัตถุอันตรายทางการเกษตรราคาถูก” พร้อมใช้รีวิวปลอมและคำโฆษณาเชิญชวนให้หลงเชื่อ ส่งผลให้เกษตรกรจำนวนมากตกเป็นเหยื่อ เสียเงิน เสียผลผลิต และเสี่ยงต่อสุขภาพ เพื่อสกัดกั้นภัยใกล้ตัวนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เปิดปฏิบัติการตรวจค้นร้านค้าออนไลน์ในจังหวัดชุมพร หลังได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีร้านค้าออนไลน์ จำหน่าย วัตถุอันตรายทางการเกษตรปลอมและสารวัตุอันตรวจไซเพอร์เมทริน (CYPERMETHRIN) ต้องห้ามผลิตเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ก่อนผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชื่อดัง โดยได้เข้าตรวจสอบสถานที่ผลิตและจำหน่ายปุ๋ยและวัตถุอันตรายทางเคมีปลอมการเกษตรในพื้นที่จังหวัดชุมพรพบว่าไม่ได้เป็นเพียงโกดังเก็บสินค้า แต่เป็นโรงงานที่ใช้พื้นที่ภายในบ้านผลิตปุ๋ยและสารเคมีปลอมมีทั้งถังผสมขนาดต่างๆ วัตถุดิบเคมี และโต๊ะบรรจุสินค้าที่จัดทำขึ้นเอง พร้อมฉลากเลียนแบบสินค้าแบรนด์ดัง เตรียมส่งขายทางออนไลน์ภายในสถานที่ผลิตพบปุ๋ยยูเรียปลอมและสารเคมีการเกษตรซึ่งมีการปลอมแปลงจำนวนมาก รวมทั้งสิ้น 9 รายการ มูลค่ารวมกว่า 2 แสนบาท แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
1.กลุ่มผลิตปุ๋ยยูเรียปลอม(สูตร 46-0-0)
ปุ๋ยยูเรียเป็นปุ๋ยไนโตรเจนที่เกษตรกรนิยมใช้มากที่สุด เพราะช่วยเร่งใบ–เร่งต้น–เพิ่มการเจริญเติบโตช่วงแรกของพืช แต่ ปุ๋ยยูเรียปลอม จะให้ธาตุอาหารไม่ครบ ทำให้พืชเจริญเติบโตผิดปกติเสี่ยงต่อการสะสมสารแปลกปลอมลงดินทำให้เกษตรกรต้องใช้ปุ๋ยมากขึ้นโดยไม่เห็นผล และเสียเงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น
2.กลุ่มสารกำจัดแมลง “ไซเพอร์เมทรินปลอม”
ไซเพอร์เมทริน (Cypermethrin) เป็นยาฆ่าแมลงที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทของแมลง ใช้ควบคุมแมลงศัตรูพืชได้หลากหลาย แต่หากเป็นของปลอม มีผลเสียหลายประการ เช่น ความเข้มข้นไม่ตรงตามมาตรฐาน ทำให้แมลงไม่ตาย พืชเสียหาย เกษตรกรต้องฉีดซ้ำ ต้นทุนเพิ่ม อาจมีสารปนเปื้อนที่เป็นพิษต่อ มนุษย์ ผึ้ง ปลา และสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ เสี่ยงทำให้เกิดการ “ดื้อยา” ของแมลง ซึ่งแก้ไขยากมากซึ่งสารเคมีทางการเกษตร ถือเป็นวัตถุอันตรายดังกล่าวผู้ใดมีไว้ในครอบครองมีความผิดตามห้ามผู้ใดผลิต นำเข้า หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปีหรือปรับไม่เกินเจ็ดแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 มาตรา 45 (1) มาตรา74 และผลิตปุ๋ยปลอมมีความผิดห้ามมิให้ผู้ใดผลิตเพื่อการค้า ขาย หรือนำเข้าปุ๋ย (1) ปุ๋ยปลอม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปีและปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสองล้านบาท ตาม พ.ร.บ.ปุ๋ย (ฉบับที่2) พ.ศ.2550 มาตรา 30 (1) มาตรา 63
เจ้าพนักงานชุดดังกล่าวจะได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปคบ. เพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำผิด ตามกฎหมายต่อไป
เตือนภัย เนื่องจากปัจจุบัน ปุ๋ยมีราคาแพง พร้อมกลับเกษตรกรชาวไร่ ชาวสวนก็ต้องการปุ๋ยเพื่อใช้ในการทำสวน ทำไร่ และ ต้องได้รับปุ๋ยที่มีคุณภาพ ดังนั้นจึงอยากให้ชาวเกษตรกรชื้อปุ๋ยที่มีคุณภาพ และมาตรฐานจากกรมวิชาการเกษตร โยการสังเกตดูเลขทะเบียนที่ติดอยู่กับกระสอบปุ๋ยว่าถูกต้องตามที่กรมวิชาการเกษตรออกให้หรือไม่ หลีกเลี่ยงสินค้าราคาถูกผิดปกติ หรือไม่มีข้อมูลแหล่งผลิต เพื่อเกษตรกรจะได้ปุ๋ยที่มีคุณภาพ หากเกษตรพบเห็นปุ๋ยปลอมสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ สายด่วนคุ้มครองผู้บริโภค 113

















