จากข้อมูล กระทรวงสาธารณสุข ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้าเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่น และเยาวชน เนื่องจากผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้าออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ดูน่าสนใจ ทันสมัย น่าดึงดูด มีรูปแบบคล้ายขนม หรือของเล่น อุปกรณ์การเรียน มีการแต่งกลิ่นและรสชาติให้เลือกมากมาย ทำให้วัยรุ่นหันมาใช้บุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้น แต่การสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพียงไม่นานก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจอย่างมีนัยสำคัญอีกทั้งปัจจุบันยังมีความเข้าใจผิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่สินค้าอันตราย แต่ในความเป็นจริงบุหรี่ไฟฟ้า มีนิโคตินซึ่งมีฤทธิ์เสพติดสูง และยังมีสารพิษหลายชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรง โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและความพิการของประชาชนไทย โดยมีผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นประจำมีความเสี่ยงเกิดโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นถึง 1.62 เท่า ส่วนผู้ที่ใช้เป็นครั้งคราวก็ยังเสี่ยงเพิ่มขึ้น 1.28 เท่า ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนชัดว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่ทางเลือกที่ปลอดภัย แต่กลับเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อสุขภาพ โดยในประเทศไทยโรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของคนไทย และยังเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ซึ่งข้อมูลจากระบบรายงานฐานข้อมูลสุขภาพ (HDC) กระทรวงสาธารณสุข ปี 2567 ระบุว่า มีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจำนวน 358,062 ราย และมีผู้เสียชีวิตถึง 39,086 ราย
“บุหรี่ไฟฟ้า” ไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ยังเป็นสิ่งผิดกฎหมายอีกด้วย ซึ่งการมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครองไม่ว่าจะมีไว้เพื่อเสพ หรือมีไว้เพื่อจำหน่าย ล้วนมีความผิดตามกฎหมายจะต้องถูกดำเนินคดี ทั้งจำทั้งปรับ ดังนี้.-
1. ผู้นำเข้ามีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร และประกาศกระทรวงพาณิชย์ โทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับ 5 เท่าของมูลค่าสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. ผู้ขาย – ผู้ให้บริการ มีความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ 4 เท่าของมูลค่าสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ
3. ผู้ครอบครอง มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ 4 เท่าของมูลค่าสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในการนี้ พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3/ผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองทัพภาคที่ 3 มีความห่วงใยต่อข้าราชการทหาร ในสังกัดกองทัพภาคที่ 3 และลูกหลานของพี่น้องประชาชน ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ จึงขอเตือนให้เลิกสูบบุหรี่รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้าตั้งแต่วันนี้ เพื่อชีวิตที่ยั่งยืนและปลอดภัย หากต้องการเลิกสูบบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้า สามารถเข้ารับบริการได้ที่โรงพยาบาลทหารทั้ง 10 แห่งในพื้นที่ภาคเหนือ รวมทั้งสถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
จึงขอเรียนให้พี่น้องประชาชน ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือทราบ เพื่อให้เกิดความมั่นใจได้ว่า กองทัพภาคที่ 3 โดย โรงพยาบาลทหารทั้ง 10 แห่งในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมที่จะให้การช่วยเหลือประชาชนในยามวิกฤตทุกโอกาส
ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าว