เปิดปฏิบัติการ “9.9 FAKE COMPANY” ทลายแก๊งบริษัทผีจีนเทา หลอกลงทุนเทรดหุ
ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 15 ราย (คนไทย 14 ราย, คนจีน 1 ราย) ดังนี้ฃ
1. MR. WANG อายุ 40 ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5217/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
2. น.ส.ริญญภัสร์ฯ อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5218/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
3. นางพรปวีณ์ฯ อายุ 48 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5211/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
4. นายยรรยงฯ อายุ 32 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5224/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
5. นายศักดิ์สิทธิ์ฯ อายุ 42 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5214/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
6. นายธนภาคย์ฯ อายุ 53 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5228/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
7. นายโยธินฯ อายุ 47 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5225/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
8. นายศาสตราวุธฯ อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5221/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
9. น.ส.ณภาภัชฯ อายุ 40 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5210/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
10. น.ส.ดวงฤดีฯ อายุ 36 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5212/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
11. นายสมคิดฯ อายุ 72 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5213/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
12. น.ส.เด่นนภาฯ อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5219/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
13. นายธวัชชัยฯ อายุ 38 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5207/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
14. นายกุลโรจน์ฯ อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5208/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
15. นายศันต์ศรุติฯ อายุ 49 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5223/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบโดยการตกลงตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน, ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันเป็นอั้งยี่”
พร้อมตรวจยึดของกลางและทรัพย์สิน ดังนี้
1. รถยนต์ รวม 9 คัน
2. กระเป๋าและเครื่องประดับแบรนด์เนม รวม 40 รายการ
3. เงินสดหลายสกุลมูลค่าประมาณ 300,000 บาท
4. โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวม 29 รายการ
5. สมุดบัญชีธนาคาร/บัตร ATM รวม 100 รายการ
6. ซิมการ์ด รวม 10 ซิม
7. พระเครื่อง รวม 23 องค์
รวมมูลค่าประมาณ 21 ล้านบาท
พฤติการณ์ เนื่องด้วยช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 ผู้เสียหายพบเห็นโฆษณาบนเฟซบุ๊กเกี่ยวกับการชักชวนลงทุนเทรดหุ้น จากนั้นจึงได้กดลิงก์โฆษณาดังกล่าวแล้วพบว่าเป็นเว็บไซต์ที่ให้ผู้เสียหายกรอกเบอร์โทร และไอดีไลน์เพื่อร่วมลงทุน และต่อมาได้มีคนร้ายใช้ไลน์ติดต่อมาหาผู้เสียหาย โดยอ้างว่าเป็นเลขาฯ ของอาจารย์นิติ โอสถานุเคราะห์ นักลงทุนชื่อดังในไทย ติดต่อมาเพื่อดูแลเรื่องการลงทุนของผู้เสียหาย อีกทั้งยังมีการให้ช่องทางติดต่อทางไลน์ของกลุ่มหน้าม้า ซึ่งคนร้ายอ้างว่าเป็นนักลงทุน เพื่อให้ผู้เสียหายพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องการลงทุน และคนร้ายที่อ้างว่าเป็นเลขาฯ ได้มีการให้ความรู้แก่ผู้เสียหายในเรื่องการลงทุนเรื่อยมา อีกทั้งยังเชิญผู้เสียหายเข้ากลุ่ม LINE OPENCHAT ซึ่งมีสมาชิกเป็นหน้าม้าอยู่ในกลุ่มมากกว่า 100 คน โดยเป็นกลุ่มที่พูดคุยแนะนำการลงทุนต่างๆ
ต่อมาช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2568 คนร้ายได้เสนอโปรเจกต์การลงทุนซื้อขายหุ้นให้กับผู้เสียหาย พร้อมทั้งได้สอนวิธีการลงทุนผ่านเว็บไซต์ FINNIXMAX โดยคนร้ายได้ชักชวนผู้เสียหายให้จองโควตาในการซื้อหุ้นไทยที่มีการซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์จริง แต่คนร้ายจะหลอกผู้เสียหายว่าสามารถตั้งเป้าหมายการทำกำไรอยู่ที่ประมาณ 10-20 % ภายในระยะเวลาประมาณ 2-3 วัน โดยคนร้ายจะคอยเสนอหุ้นรายตัวต่างๆ พร้อมเป้าหมายการทำกำไรให้กับผู้เสียหาย ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงเริ่มโอนเงินลงทุน โดยคนร้ายได้ใช้บัญชีนิติบุคคลต่างๆ ซึ่งเป็นบัญชีม้าที่ใช้ในการรับเงินจากผู้เสียหาย อีกทั้งเมื่อผู้เสียหายลองถอนเงินออกจากระบบ ยังพบว่าสามารถถอนได้จริง จึงทำให้ผู้เสียหายรู้สึกมั่นใจมากขึ้น จากนั้นผู้เสียหายจึงได้โอนเงินลงทุนเพิ่มขึ้น โดยภายหลังเมื่อหุ้นดังกล่าวทำกำไรได้ตามเป้าหมายแล้ว ผู้เสียหายไม่สามารถถอนต้นทุนและกำไรจากการลงทุนออกมาได้ โดยระบบแจ้งว่าการถอนถูกชะลอ ผู้เสียหายจึงติดต่อไปยังคนร้ายที่อ้างตัวว่าเป็นเลขาฯ แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ผู้เสียหายจึงเชื่อว่าถูกหลอกลวง จึงได้มาแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. จากตรวจสอบทราบว่าผู้เสียหายรายนี้ได้โอนเงินไปลงทุนจำนวน 5 ครั้ง มูลค่าความเสียหายประมาณ 1,200,000 บาท
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. จึงได้ทำการสืบสวนขบวนการหลอกลงทุนดังกล่าว จนทราบว่ามี ผู้ร่วมขบวนการทั้งคนไทยและคนจีน มีการแบ่งหน้าที่กันทำ ใช้บัญชีม้านิติบุคคลในการรับเงินจากการหลอกลวงจากผู้เสียหาย และมีการถอนเงินสดออกจากธนาคารเพื่อนำไปส่งให้กับหัวหน้าขบวนการ ซึ่งภายหลังจากการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน และขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 24 ราย ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบโดยการตกลงตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน, ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันเป็นอั้งยี่” โดยแบ่งเป็น กลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นกรรมการ นิติบุคคลบัญชีม้า มีหน้าที่ในการเบิกเงินสด จำนวน 6 ราย, กลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นกลุ่มฟอกเงิน มีหน้าที่ในการช่วยเหลือ ดูแล ในการเบิกเงินสด จำนวน 13 ราย, กลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นผู้จัดหาบัญชีม้านิติบุคคล และควบคุมสั่งการในการถอนเงิน จำนวน 2 ราย, ผู้ต้องหาที่ทำหน้าที่เป็นล่าม และนำเงินสดไปส่งมอบให้แก่คนจีน จำนวน 1 ราย และกลุ่มผู้ต้องหาที่รับเงินสด เป็นเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 2 ราย (จีน 1 ราย และไทย 1 ราย )
ต่อมา เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอท., บก.ปคบ., บก.ปคม., บก.ป., บก.ทล. ได้เปิดปฏิบัติการ “9.9 Fake Company” ตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 13 จุด ในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และเชียงใหม่ สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งสิ้น 15 ราย และอายัดตัวผู้ต้องในเรือนจำ 1 ราย พร้อมตรวจยึดของกลาง โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 29 รายการ, สมุดบัญชีธนาคาร/บัตร ATM จำนวน 100 รายการ และซิมการ์ด จำนวน 10 อัน และทรัพย์สินมีค่าต่างๆ ประกอบด้วย รถยนต์ จำนวน 9 คัน, กระเป๋าและเครื่องประดับแบรนด์เนม จำนวน 40 รายการ, เงินสดหลายสกุลมูลค่าประมาณ 300,000 บาท และพระเครื่อง จำนวน 23 องค์ รวมมูลค่าสิ่งของที่ตรวจยึดประมาณ 21 ล้านบาท
จากการสืบสวนและซักถามขยายผลพบว่า กลุ่มผู้ต้องหาเป็นขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่อย่างเป็นระบบ กลุ่มผู้บงการชาวจีนเป็นผู้สั่งการและกำหนดแนวทาง โดยจะมีคนไทยเป็นผู้ประสานงาน ทำหน้าที่ล่ามแปลภาษา จัดหาบัญชีม้านิติบุคคลให้แก่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เมื่อเงินของผู้เสียหายถูกโอนเข้าสู่บัญชีม้านิติบุคคล กลุ่มผู้ต้องหาจะมีการนัดหมายเบิกถอนเงินสดตามธนาคารสาขาต่างๆ โดยมีผู้รับผิดชอบประสานงานกับธนาคาร เพื่อให้สามารถถอนเงินได้ครั้งละหลายล้านบาท ขณะเดียวกันจะมีกลุ่มที่ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและควบคุมความเรียบร้อยระหว่างการถอนเงิน ทำหน้าที่ป้องกันการโกงหรือการหนีหายของกรรมการบริษัทบัญชีม้า ซึ่งภายหลังเมื่อมีการถอนเงินตามธนาคารสาขาต่างๆ แล้ว กลุ่มผู้ต้องหาจะรวบรวมเงินสดนำส่งต่อให้แก่ผู้บงการชาวจีนที่เป็นสมาชิกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สำหรับเหตุผลที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์เลือกใช้บัญชีนิติบุคคลม้าในการรับเงินจากผู้เสียหาย เนื่องจากต้องการทำให้เกิดความน่าเชื่อถือในการหลอกลงทุน และบัญชีนิติบุคคลจะไม่ค่อยถูกอายัด อีกทั้งเมื่อมีการทำธุรกรรมในยอดเงินจำนวนมาก จะไม่ค่อยถูกตรวจสอบจากสถานบันทางการเงินต่างๆ
ทั้งนี้จากการตรวจสอบในระบบแจ้งความออนไลน์ พบว่ามีคดีที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ต้องหากลุ่มนี้จำนวนทั้งสิ้น 265 คดี รวมมูลค่าความเสียหายว่า 654 ล้านบาท ซึ่งเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลงทุนเทรดหุ้นผ่าน แพลตฟอร์ม FINNIXMAX และ CGS International อีกทั้งยังมีการแอบอ้างบุคคลผู้ที่มีชื่อเสียงด้านการลงทุนต่างๆ เช่น คุณทิวา ชินธาดาพงศ์ และ นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี เป็นต้น
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น MR. WANG สัญชาติจีน และ น.ส.ริญญภัสร์ฯ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ต้องหาที่ทำหน้าที่สั่งการและรับเงินสด ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ยอมรับในข้อเท็จจริงว่า ได้เดินทางไปรับเงินสดจริง แต่ไปรับตามคำสั่งของคนจีนอีกคนหนึ่ง นางพรปวีณ์ฯ, นายยรรยงฯ, นายธนภาคย์ฯ, นายโยธินฯ และ นายศาสตราวุธ ให้การปฏิเสธตลอด ข้อกล่าวหาว่า แต่ยอมรับในข้อเท็จจริงว่า ได้ร่วมกับนายศักดิ์สิทธิ์ฯ ทำการเบิกถอนเงินสดและนำไปส่งให้แก่คนจีน (MR. WANG) ซึ่งในการทำงานแต่ละครั้งจะมีการตั้งกลุ่ม Telegram ขึ้นมาเพื่อติดต่อสื่อสารกัน และจะลบกลุ่มทิ้งทันทีหลังจากงานเสร็จสิ้น โดยนายศักดิ์สิทธิ์ฯ มีหน้าที่ในการจัดหาบัญชีนิติบุคคลม้า และนางพรปวีณ์ฯ ทำหน้าที่เป็นล่ามในการติดต่อสื่อสารกับคนจีน ซึ่งเมื่อนายศักดิ์สิทธิ์ฯ จัดหาบัญชีนิติบุคคลม้าได้แล้ว จะจัดส่งเลขที่บัญชีให้แก่คนจีน จากนั้นแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะนำบัญชีนิติบุคคลม้าดังกล่าวไปหลอกลวงผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายโอนเงินเข้ามาแล้ว นายธนภาคย์ฯ จะทำหน้าที่ประสานธนาคารสาขาต่างๆ เพื่อเตรียมเงินสดไว้สำหรับการเบิกถอนจำนวนมาก จากนั้นนายศักดิ์สิทธิ์ฯ และ นางพรปวีณ์ฯ จะพากลุ่มบุคคลที่เป็นกรรมการนิติบุคลบัญชีม้าไปที่ธนาคารสาขาที่ได้ประสานงานไว้แล้ว เพื่อทำการเบิกถอนเงินสด โดยมีนายยรรยงฯ, นายโยธินฯ และนายศาสตราวุธ ดูแลความปลอดภัยและควบคุมความเรียบร้อยระหว่างการถอนเงิน จากนั้น นางพรปวีณ์ฯ จะเอาเงินสดที่เบิกถอนมา นำส่งให้แก่คนจีน (MR. WANG) โดย นางพรปวีณ์ฯ ได้รับค่าจ้างครั้งละประมาณ 10,000 บาท ส่วนนายยรรยงฯ, นายโยธินฯ และ นายศาสตราวุธฯ ได้รับค่าจ้างครั้งละประมาณ 1,000 บาทน.ส.ณภาภัชฯ, นายสมคิดฯ, น.ส.เด่นนภาฯ, นายธวัชชัยฯ, นายกุลโรจน์ฯ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่เป็นกรรมการนิติบุคคลบัญชีม้า ให้การว่า ได้รับการว่าจ้างให้ใช้บัญชีนิติบุคคลเพื่อรับเงินที่ได้จากการเทรด และการพนันออนไลน์ โดยจะมีการนัดหมายกับกลุ่มผู้ต้องหาเพื่อเบิกถอนเงินสดและส่งมอบให้