เปิดรายละเอียด ก่อนศาลฯ พิพากษา “ทักษิณ” จำคุก 1 ปี กรณีนอนชั้น 14 รพ.ตำรวจ กรณีอ้างป่วยวิกฤต ชี้ผ่าตัดนิ้วล็อคไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล
วันที่ 9 ก.ย.2 568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำสั่งศาลในเวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา พร้อมสั่งให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และนายทักษิณ ชินวัตร เข้าฟังคำสั่ง นายทักษิณ เดินเข้ามาในห้องพิจารณาคดี เพื่อฟังคำสั่งศาล โดยสวมสูทสีดำ และผูกไทสีเหลือง พร้อมกับยีนส์ทักทายผู้สื่อข่าว นอกจากนี้ยังมีลูกสาว 2 คน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนางสาวพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นน้องเขย เข้าร่วมการฟังคำสั่งศาลในครั้งนี้ด้วย
โดยก่อนที่องค์คณะผู้พิพากษาจะขึ้นนั่งบัลลังก์ นายทักษิณเดินออกไปห้องน้ำ และได้จับมือกับผู้สื่อข่าวก่อนบอกว่า “สบายมาก” แต่เมื่อกลับมานั่งภายในห้องพิจารณาคดี ก่อน 5 นาที ที่จะมีการอ่านคำสั่ง นายทักษิณท้าวแขนกับเก้าอี้แล้วนำมือมาจับที่คางและขมับ ขณะเดียวกันนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เดินไปสวัสดีฝ่ายโจทก์ ซึ่งเป็นตัวแทนของอัยการสูงสุด และ ป.ป.ช. และได้ยกมือไหว้นายทักษิณ ซึ่งนายทักษิณได้ส่งยิ้ม
กระทั่งเวลา 10.00 น. องค์คณะผู้พิพากษา ใช้เวลาอ่านคำสั่ง 1 ชั่วโมง โดยสั่งให้นายทักษิณ กลับไปรับโทษจำคุก 1 ปี ตามที่ได้รับการอภัยลดโทษเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เนื่องจากการบังคับโทษไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 นายทักษิณ ไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอก แต่ใช้เหตุนี้เพื่อจะให้เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพไปส่งที่โรงพยาบาลตำรวจ
ทั้งที่ตามระเบียบของการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ โดยเฉพาะเรือนจำพิเศษกรุงเทพ จะต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน หากอาการไม่ดีขึ้นถึงจะพิจารณาส่งตัวไปโรงพยาบาลภายนอก แต่ในคืนดังกล่าวมีการปรึกษาของพยาบาลเวรเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร กับแพทย์เวรโรงพยาบาลราชทัณฑ์เท่านั้น
อีกทั้งเมื่อไปถึงไม่ได้มีการนำตัวไปห้องฉุกเฉินตามหลักเกณฑ์ของโรงพยาบาลตำรวจ แต่นำตัวไปยังห้องพิเศษชั้น 14 ทันที และยังไม่ได้มีการตรวจคลื่นหัวใจ ตามโรคที่กล่าวอ้าง ซึ่งถ้าหากกลุ่มคนที่เป็นโรคฉุกเฉินเกี่ยวกับหัวใจ จะต้องได้รับการตรวจภายในระยะเวลา 10 นาที มีเพียงการพ่นยา และให้ยาลดความดันเท่านั้น แสดงให้เห็นว่านายทักษิณไม่ได้ป่วยวิกฤตที่ต้องได้รับการรักษาฉุกเฉิน และยังรู้ด้วยว่า ตัวเองไม่ได้ป่วยฉุกเฉิน
นอกจากนี้ ในระหว่างที่อยู่ในโรงพยาบาลตำรวจ ยังปฏิเสธการรักษาของแพทย์ในบางโรค เช่น อาการของกระดูกคอทับประสาท ซึ่งแพทย์แนะนำให้ผ่าตัด แต่นายทักษิณปฏิเสธที่จะผ่าตัด ขอรับเพียงยาเท่านั้น
ส่วนการผ่าตัดนิ้วล็อค ถือเป็นการผ่าตัดเล็กไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล และสามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ อีกทั้งตลอดระยะเวลาที่อยู่โรงพยาบาลตำรวจ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไม่เคยติดตามอาการของนายทักษิณเลย มีเพียงติดตาม ตามวงรอบ 30 วัน 60 วัน และ 120 วัน ที่จะขอให้โรงพยาบาลออกใบความคิดเห็น เพื่อที่จะยื่นขออนุญาตในการรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจต่อเท่านั้น
ขณะเดียวกันอาการป่วย 10 โรค ที่มีใบรับรองแพทย์จากต่างประเทศนั้น ซึ่งบันทึกไว้ในเวชระเบียนในวันที่นายทักษิณเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มีเพียง 3 โรค ที่ไม่ได้เข้าข่ายอาการฉุกเฉิน เช่น กระดูกคอทับเส้นประสาท โรคหัวใจ ที่ต้องได้รับการรักษาต่อเนื่อง ที่ให้ส่งตัวไปรักษานอกโรงพยาบาลแบบไป – กลับในเวลาราชการ โดยไม่จำเป็นต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยหลังจากศาลอ่านคำสั่งเสร็จสิ้นแล้ว นางสาวแพทองธารได้เดินเข้าไปกอดนายทักษิณ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนที่นายทักษิณจะหันมาพูดคุยกับทนายความ จากนั้นเจ้าหน้าที่ของศาลฎีกา จะเชิญผู้สื่อข่าวออกจากห้องพิจารณาคดี เพื่อดำเนินการส่งตัวนายทักษิณไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเพื่อคุมขัง
สำหรับคดีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ มีการไต่สวนพยานรวมแล้ว 7 นัด จำนวน 31 ปาก
- เริ่มนัดแรกวันที่ 13 มิถุนายน โดยการไต่สวนผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
- นัดที่ 2 ไต่สวนแพทย์ และพยาบาลทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์
- นัดที่ 3 ไต่สวนพัสดี และผู้คุมขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
- นัดที่ 4 ไต่สวนอดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์
- นัดที่ 5 ทีมแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ
- นัดที่ 6 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากแพทยสภา
- นัดที่ 7 นัดสุดท้าย คือ นายวิษณุ เครืองาม ซึ่งเป็นพยานฝ่ายจำเลย เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม