จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในช่วงฤดูฝน โรคเมลิอออยโดสิส หรือโรคไข้ดิน ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เบอร์โคเดอเรีย สูโดมัลลิอาย (Burkholderia Pseudomallei) พบได้ทั่วไปในดิน ในน้ำ นาข้าว ท้องไร่ สวนยาง ทั่วทุกภาคในประเทศไทย ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา จับปลา ลุยน้ำ ปลูกแปลงผัก ทำสวนยาง จับปลา หรือลุยโคลน เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทาง คือ 1. การสัมผัสน้ำ หรือดินที่มีเชื้อปนเปื้อน 2. ดื่มน้ำ หรือรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป และ 3. สูดหายใจเอาฝุ่นจากดินที่มีเชื้อเจือปนอยู่เข้าไป หลังติดเชื้อประมาณ 1-21 วัน จะเริ่มมีอาการเจ็บป่วย แต่บางรายอาจนานเป็นปี ขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อที่ได้รับและภูมิต้านทานของแต่ละคน อาการของโรคนี้ไม่มีลักษณะเฉพาะ จะมีความหลากหลายคล้ายโรคติดเชื้ออื่นๆ หลายโรค เช่น มีใช้สูง มีฝีที่ผิวหนัง มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ อาจติดเชื้อเฉพาะที่ หรือติดเชื้อแล้วแพร่กระจายทั่วทุกอวัยวะและเสียชีวิตได้
สถานการณ์โรคเมลิออยโดสิส หรือโรคไข้ดิน กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 55-64 ปี รองลงมา คือ กลุ่ม 65 ปีขึ้นไป อาชีพที่มีจำนวนผู้ป่วยสูงสุด คือ เกษตรกร
ในการนี้ พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3/ผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองทัพภาคที่ 3 และคณะแพทย์ทหาร มีความห่วงใยข้าราชการทหาร ในสังกัดกองทัพภาคที่ 3 จากโรคภัยดังกล่าว รวมทั้งพี่น้องประชาชน ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ รวมทั้งกลุ่งเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง โรคธาลัสซีเมีย และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง จึงขอแนะวิธีการป้องกันโรคเมลิออยโดสิส หรือโรค ไข้ดิน สามารถทำได้ ดังนี้ 1) ผู้ที่มีบาดแผลให้หลีกหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลน หรือสัมผัสดินและน้ำโดยตรง หากจำเป็น ขอให้สวมรองเท้าบูท ถุงมือยาง กางเกงขายาวหรือชุดลุยน้ำ และรีบทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำสะอาดและสบู่ 2) หากมีบาดแผลที่ผิวหนัง ควรรีบทำความสะอาดด้วยยาฆ่าเชื้อ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสดินและน้ำจนกว่าแผลจะแห้งสนิท 3) รับประทานอาหารปรุงสุก ดื่มน้ำต้มสุกหรือน้ำขวดที่ผ่านมาตรฐานทุกครั้ง 4) หลีกเลี่ยงการสัมผัสลมฝุ่น และการอยู่ท่ามกลางสายฝน และ 5) ลดละเลิกการดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ ซึ่งจะทำให้สุขภาพดีขึ้น และมีภูมิต้านทานโรคดีขึ้น ทั้งนี้ หากมีอาการป่วยไข้สูงติดต่อกันเกิน 5 วัน ควรรีบพบแพทย์ทันที
จึงขอเรียนให้พี่น้องประชาชน ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือทราบ เพื่อให้เกิดความมั่นใจได้ว่า กองทัพภาคที่ 3 โดย โรงพยาบาลทหารทั้ง 10 แห่งในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมที่จะให้การช่วยเหลือประชาชน ในยามวิกฤตทุกโอกาส
ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าว