สองสาวใหญ่ ย่องเข้ากุฏิพระอาพาธวัย 80 ปี รื้อค้นข้าวของฉกโทรศัพท์มือถือเผ่นลอยนวล ย่านประชาอุทิศ
วันที่ 12 กรกฎาคม 2568 เวลา 12.00 น.
สืบเนื่องจากนาย มนูญ กลิ่นจันทร์ อายุ 29 ปี หลานชายของพระลูกวัดบางมดโสธรารามได้ร้องสื่อให้ช่วยตามหาสองสาวใหญ่ย่องเข้ากุฏิหลวงตาทองสุข เสือคำราม หรือหลวงตาสุข อายุ 80 ปี ซึ่งได้ป่วยเป็นโรคประจำตัวประกอบกับอายุที่มากแล้วจึงไม่สามารถที่จะเดินเหินได้เหมือนคนปกติธรรมดาทั่วไป หลวงตาสุข เสือคำราม อายุ 80 ปี เป็นพระลูกวัดอยู่ที่วัดบางมดโสธราราม ซอย ประชาอุทิศ 27 ถนน ประชาอุทิศ แขวง บางมด เขต ทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร โดยพักอาศัยอยู่กุฏิด้านหลังโบสถ์ภายในวัดดังกล่าว และต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2567 พระทองสุข ได้มีอาการป่วยต้องพักรักษาตัวอยู่ภายในกุฏิ จนไม่สามารถเดินได้สะดวก และใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไปได้ แล้วต่อมาเมื่อวานนี้ ( วันที่ 11 กรกฎาคม 2568 ) เวลาประมาณ 13.45 น. ขณะที่พระทองสุขกำลังพักผ่อนอยู่ที่เตียงนอนภายในกุฏิได้มีหญิงสาวรูปร่างอ้วน 2 คน ซึ่งไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง ได้เข้ามาภายในวัดและเข้าไปในห้องของพระทองสุข และหลังจากนั้นในช่วงเวลาประมาณ 13.43 น. หญิงคนที่ใส่เสื้อเอี้ยมสีเขียวผมสั้นได้ลงมือรื้อค้นหาสิ่งของบนหัวเตียงของพระทองสุข ส่วนหญิงอีกคนที่มาด้วยกันที่สวมใส่เสื้อแขนยาวสีแดงได้เป็นคนดูต้นทาง และต่อมาหญิงคนร้ายคนที่รื้อหาสิ่งของได้มองเห็นโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ ซัมซุง พร้อมซิมเครือข่ายดีแทค หมายเลขโทรศัพท์ 0945641037 สีดำ ราคาประมาณ 4,000 บาท ของพระทองสุข ซึ่งวางไว้บนหัวเตียงได้หยิบเอามาแล้วทำทีว่าเอามาดูเล่น จากนั้นเมื่อเห็นว่าพระทองสุขหลับตาอยู่ หญิงดังกล่าวจึงได้เอาโทรศัพท์ของหลวงตาสุขใส่ใว้ในเอี้ยมตัวที่สวมมา ภายหลังหญิงทั้งสองคนลักเอาโทรศัพท์ไปแล้วทั้งสองจึงได้พากันหลบหนีไปในเวลาประมาณ 13 .45 น. ของวันดังกล่าว ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดกล้องวงจรปิด ภายในห้อง ของหลวงตาสุข ได้ ทำการบันทึกภาพ เหตุการณ์ทั้งหมดเอาไว้ได้ จึงได้รวบรวม ไว้เป็นหลักฐาน และ ต่อมาหลานชายของพระทองสุขได้เดินทางไปแจ้งความร้องทุกข์เอาไว้แล้วที่ สน.ราษฎร์บูรณะ
และจากการสอบถาม พระทองสุข เสือคำราม หรือหลวงตาสุข อายุ 80 ปี ผู้เสียหายกล่าวว่า ตนป่วยมานานแล้ว ไม่สามารถ เดินเหินไปไหนได้ และ และไม่ได้รับกิจนิมนต์มานานแล้ว เมื่อตอน เกิดเหตุ ตนกำลังนอนพักอาศัยอยู่ภายในกุฏิ แล้วมีหญิง 2 คนเดินเข้ามาในกุฏิ ทำทีว่ามาเยี่ยม แล้วมาพูดคุย นู่นนี่นั่น สักพักก็เอ่ยปากยืมเงิน แล้วก็บอกกับอาตมาว่า วันนี้จะนำราดหน้ามาถวาย อาตมาก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนแถวนี้หรือเปล่า ตอนนั้นอาตมาก็รู้สึกเพลีย แล้วก็เลยเผลอหลับไป แล้วเขาก็ลงมือก่อเหตุตามคลิปกล้องวงจรปิดเลย อาตมาก็จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
ส่วนทางด้าน พระโสรพล กล่าวว่า อาตมา ติดกล้องไว้ที่ห้องหลวงปู่เพื่อจะดูพฤติกรรม เพราะหลวงปู่ท่านไม่สบาย เป็นโรคลมชักมาต้องแต่เมื่อพรรษาที่แล้ว ตอนนั้นหลวงปู่ชักแล้วล้มลงตอนกลางคืน มารู้อีกทีก็เช้า ตั้งแต่นั้นมาก็เลยติดกล้องไว้ เผื่อเป็นอะไรไปอีก แล้วก็จริงๆ หลวงปู่จะชอบลุกเดินเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนบ่อย แล้วก็จะล้มบ่อย เพราะขาไม่ค่อยจะมีแรง อาตมาจะเข้าดูกล้องเรื่อยๆ ว่า ตื่นหรือยัง ฉันข้าวหรือยัง เย็นฉันนมกี่กล่อง เพราะหลวงปู่ต้องฉันยาหลังอาหารทุกมื้อ ช่วงก่อนหน้านี้ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมาก่อน เรื่ิองมีคนเข้ามาหาหลวงปู่ นั่งรถเก๋งมา เข้าไปหาหลวงปู่ หันไปหันมาเห็นกล้องวงจรปิด เลยทำทีเข้าไปบีบนวดที่ขา แล้วกระซิบพูดเบาๆเพื่อไม่ให้กล้องได้ยินเสียง ใจความว่า มาทำบุญที่วัด แล้วจะขอค่ารถกลับ หลวงปู่ก็หยิบกระเป๋าตังค์มาเปิดดู บอกมีแค่นี้แหละ หลวงปู่ไม่สบายไม่ได้ออกไปกิจนิมนต์ แต่ก็หยิบให้ไป 200 บาท หลังจากนั้น ก็มีอีก แต่เป็นรายนี่แหละ ตอนนั้นมาคนเดียว มาขอยืมเงิน หลวงปู่ก็หยิบกระเป๋าแบบพับขึ้นมาเปิด มี 2 ฝั่ง ฝั่งนึงมี 500 อีกฝั่งมี 400 แต่เปิดเห็นแค่ฝั่ง 400 เลยรีบหยิบเงินจากมือไป ได้ไปแค่ 400 แล้วก็กลับออกไป ครั้งนั้น ไม่ได้ไปแจ้งความอะไร แต่พอมาเห็นพฤติกรรมในครั้งนี้ ก็คิดว่า ไม่ได้แล้วจะปล่อยไปแบบครั้งก่อนไม่ได้ มันอันตรายเกิดไป แล้วหลวงปู่ก็จะไม่ทันคนประเภทนี้ ช่วงเมื่อวันเกิดเหตุ อาตมากำลังดูโหนกระแสอยู่ ช่วงบ่ายๆ ประมาณบ่าย 2 ได้ แล้วอาตมาก็เข้ามาย้อนดูกล้องว่าหลวงปู่ฉันข้าวกลางวันหรือยัง ตนก็เห็นว่ามีคนมาหาหลวงปู่ ดูไปดูมา อ้าว มาหยิบโทรศัพท์หลวงปู่ไป เลยรีบออกมาหาหลวงปู่ที่กุฏิ ว่ารู้มั่ยเนี่ยว่าโทรศัพท์โดนขโมยไปแล้ว หลวงปู่ถึงได้รู้ตัว อาตมาจึงโทรตามหลานหลวงปู่มาแล้วพากันไปแจ้งความที่ สน.ราษฎร์บูรณะ ช่วงเกิดเหตุก็เวลาบ่ายโมงครึ่ง อาตมามาเห็นในกล้องก็ช่วงบ่าย 2 โมง 10 นาที คลาดกันนิดเดียวเอง เพราะย้อนดูช่วงที่เห็นว่ากลับออกไปตอนบ่ายโมง 45 นาที การที่ติดกล้องวงจรปิด ช่วยได้เยอะเลย เพราะจะได้รู้ช่วงเวลาที่หลวงปู่ท่านล้มหรือเป็นอะไรเวลาไหน แล้วก็ดีว่าเพราะเกิดเหตุปุ๊บ แจ้งไป อาสาก็มาช่วยได้ไวมาก ส่วนเรื่องคนร้าบที่เข้ามาดูจากกล้องรวมๆแล้ว ขี่มอเตอร์ไซค์มาจากทางซอยสวนทะเล ก็คิดว่าน่าจะเป็นคนแถวๆละแวกโซนทางนั้น ส่วนเรื่องคดีก็อยากจะเอาเรื่องเพราะว่าถ้าปล่อยไว้จะเป็นอันตรายต่อพระลูกวัดท่านอื่นอีก ทางเราจะแยกไม่ออกเลยว่า ญาติโยมเข้ามาทำบุญหรือเข้ามาทำอะไร ก็อยากจะให้จับคนร้ายให้ได้ไวที่สุด
เบื้องต้น ส.ส.แอนศิริ วลัยกนก พร้อมทีมงานได้เดินทางมาเยี่ยมพระทองสุข เสือคำราม หรือหลวงตาสุข ที่วัดบางมดโสธราราม หลังจากทราบข่าวเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งได้นั่งพูดคุยถึงอาการอาพาธ ของหลวงตาสุข และได้แสดงความเป็นห่วงในเรื่องของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเหตุการณ์กรณีของสองสาวแสบที่เดินเข้ามาภายในกุฏิพระแล้วได้ลงมือทำการรื้อค้นเพื่อหาสิ่งของมีค่า แล้วได้หยิบเอาโทรศัพท์มือของหลวงตาสุขไปเรื่องดังกล่าวถึงเเม้ว่าทรัพย์สินที่หายไปจะไม่มีราคามากมายเท่าไหร่ แต่ถ้าคิดเป็นเงินก็ราคาประมาณ 4,000 บาท แต่กรณีดังกล่าวก็ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อประชาชน และเหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ซึ่งวัดเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ แล้วยังงัยสองสาวแสบถึงได้กล้าลงมือแบบนี้ได้และอีกอย่างตอนที่ลงมือก่อเหตุก็เป็นเวลากลางวันแสกๆซึ่งตนคิดว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจมาก เรื่องแบบนี้จึงยอมไม่ได้ ส่วนเรื่องการเร่งติดตามจับกุมสองสาวแสบดังกล่าวตนก็จะติดตามคดีดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและจะต้องดำเนินคดีอย่างถึงที่สุดกับผู้ก่อเหตุ และเรื่องแบบนี้ตนหวังว่าจะไม่เกิดขึ้นอีกกับวัดอื่น วัดจะต้องเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่ปลอดภัย เป็นที่พึ่งทางใจของประชาชนทุกคนได้