บทบาทประเทศไทยในเวทีมหาสมุทรโลก! พร้อมร่วมมือประกาศเป้าหมายอนุรักษ์ทะเลอย่างยั่งยืน
วันที่ 10 มิถุนายน 2568 ในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องมหาสมุทร (UN Ocean Conference) คณะผู้แทนประเทศไทยได้แสดงบทบาทสำคัญในการผลักดันวาระการอนุรักษ์ทะเลระดับโลก โดยเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมคู่ขนาน (Side Event) พร้อมประกาศความมุ่งมั่นในการปกป้องพื้นที่ทางทะเลให้ได้อย่างน้อย 30% ภายในปี 2030 ขณะเดียวกันได้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนในเวทีที่เน้นย้ำถึงความเชื่อมโยงของระบบนิเวศตั้งแต่ภูเขาสู่ท้องทะเล
ในกิจกรรมคู่ขนานภายใต้หัวข้อ “Unlocking the Blue Economy: Financing and Partnerships for Marine Spatial Planning Successful Implementation” ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพร่วมกับฝรั่งเศส จีน บราซิล กานา โตโก ฟิจิ และองค์กรระหว่างประเทศชั้นนำหลายแห่ง
นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวในนามประเทศไทย ประกาศความมุ่งมั่นโดยสมัครใจที่จะ ปกป้องพื้นที่ทางทะเลอย่างน้อย 30% และฟื้นฟูระบบนิเวศที่เสื่อมโทรม 30% ภายในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573) ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนข้อที่ 14 (SDG 14) และกรอบความหลากหลายทางชีวภาพโลกคุนหมิง-มอนทรีออล
นายนราพัฒน์ยังได้กล่าวถึงบทบาทของ มูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ซึ่งให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอนุรักษ์ทางทะเลของไทย โดยเน้นย้ำว่าแผนการวางแผนเชิงพื้นที่ทางทะเล คือ กุญแจสำคัญที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ ผ่านการผสมผสานองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้ากับภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังขยายพื้นที่คุ้มครองทางทะเล เสริมสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งชุมชนท้องถิ่น สถาบันการศึกษา ประชาสังคม และภาคเอกชน เพื่อปลดล็อกศักยภาพของเศรษฐกิจสีน้ำเงินที่ยั่งยืนและเท่าเทียมและมีส่วนสนับสนุนการดำเนินการด้านมหาสมุทรทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ
โดยในวันเดียวกัน นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมด้วย นางสุนีย์ ศักดิ์เสือ ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ ได้เข้าร่วมรับฟังการบรรยายในกิจกรรมคู่ขนานหัวข้อ “From Mountains to Oceans: Preserving Biodiversity Across Environmental Boundaries for a Sustainable Future” ซึ่งจัดโดยสาธารณรัฐอาร์มีเนียและสาธารณรัฐฝรั่งเศส
สาระสำคัญของเวทีดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่แยกกันไม่ขาดระหว่างระบบนิเวศภูเขาและทะเล โดยระบุว่าการเปลี่ยนแปลงบนภูเขาส่งผลกระทบโดยตรงต่อมหาสมุทร ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำฝนที่ส่งผลต่อปริมาณน้ำจืดไหลลงสู่ทะเล, ปัญหามลพิษในแหล่งน้ำที่สะสมในมหาสมุทร, และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น น้ำแข็งละลาย หรือการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ ซึ่งล้วนส่งผลทวีความรุนแรงต่อระบบนิเวศทางทะเลทั้งสิ้น
การบรรยายได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาแบบองค์รวม เช่น การบริหารจัดการที่เชื่อมโยงทั้งบนบกและในทะเล, การอนุรักษ์ระบบนิเวศภูเขาซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำ, และการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพตั้งแต่จากภูเขาลงไปถึงทะเล ซึ่งเป็นแนวคิดที่สนับสนุนเป้าหมายการดำเนินงานของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี