พฤติกรรมของกัมพูชาในการพยายามเปลี่ยนสันปันน้ำของไทย
ทีมข่าวต่างประเทศ–การเมืองชายแดน
“ธรรมชาติสร้างพรมแดน แต่การเมืองพยายามรื้อทำลาย”
ในเกมเงียบของข้อพิพาทพรมแดนระหว่างไทย–กัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ “เขาพระวิหาร” และแนวเทือกเขาพนมดงรัก ชายแดนด้านจังหวัดศรีสะเกษ พฤติกรรมหนึ่งที่ปรากฏอย่างชัดเจนและน่ากังวลในระยะหลัง คือความพยายามของฝ่ายกัมพูชาในการ “เปลี่ยนแนวสันปันน้ำ” ซึ่งเป็นหลักทางภูมิศาสตร์ที่ใช้แบ่งเขตแดนมาตั้งแต่สมัยสนธิสัญญาไทย–ฝรั่งเศส พ.ศ. 2447 (1904)
สันปันน้ำ ชายแดนของแผ่นดินไทย
“สันปันน้ำ” หรือ watershed line คือเส้นแบ่งธรรมชาติที่แยกทางน้ำไหลระหว่างสองฝั่งภูเขา เป็นเกณฑ์ที่นานาชาติยอมรับในการกำหนดเขตแดน เพราะไม่มีใครสร้างได้ มีแต่ธรรมชาติเท่านั้นที่กำหนด
ในกรณีของเขาพระวิหาร สันปันน้ำวางตัวตามแนวเทือกเขาพนมดงรัก และชัดเจนว่า ตัวปราสาทตั้งอยู่เหนือแนวสันปันน้ำฝั่งไทย การยอมให้เขาพระวิหารตกอยู่ภายใต้กรรมสิทธิ์ของกัมพูชาในคำพิพากษาศาลโลกปี 2505 จึงกลายเป็นข้อพิพาทยืดเยื้อที่ยังไม่ถึงบทสรุป
พฤติกรรมต้องสงสัย ขุดคู – เปลี่ยนร่องน้ำ – ปรับภูมิประเทศ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีรายงานเชิงภาคสนามจากทหารพราน ชาวบ้าน และสื่อท้องถิ่นในจังหวัดศรีสะเกษที่ระบุว่า
ฝ่ายกัมพูชามีการ ขุดคูหรือร่องน้ำเทียมในแนวใกล้สันปันน้ำดั้งเดิม บางจุดห่างจากเขาพระวิหารเพียงไม่กี่ร้อยเมตร
เป้าหมายคือเปลี่ยนทิศทางน้ำไหล เพื่อสร้าง “แนวปันน้ำใหม่” แล้วนำมาอ้างว่าเป็น “หลักฐานภูมิประเทศ” สำหรับการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนที่ควรเป็นของไทย
พฤติกรรมลักษณะนี้ไม่ได้เป็นเพียง “การพัฒนาแหล่งน้ำ” หรือ “ทำไร่ทำสวน” อย่างที่อ้าง
หากแต่เป็น “การปรับเปลี่ยนข้อเท็จจริงภูมิประเทศ” เพื่อใช้ประกอบข้อพิพาททางกฎหมายในอนาคต
แผนยืดเยื้อ เปลี่ยนข้อเท็จจริงวันนี้ เพื่อชนะคำตัดสินวันหน้า
การเปลี่ยนแปลงแนวสันปันน้ำ ไม่ใช่แค่การขุดคูธรรมดา หากแต่เป็น “ยุทธศาสตร์ระยะยาว” ที่กัมพูชาใช้ต่อรองในเวทีระหว่างประเทศ
เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปี หากไม่มีการทักท้วงและรักษาแนวธรรมชาติเดิม ฝ่ายตรงข้ามอาจกล่าวอ้างว่า “นี่คือภูมิประเทศที่เป็นจริง” และใช้ต่อรองในกระบวนการยุติธรรมใหม่ เช่น การตีความคำตัดสินศาลโลกฉบับปี 2556 หรือการขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกแบบครอบคลุมพื้นที่รอบปราสาท
ไทยจะเพิกเฉยอีกนานแค่ไหน?
จนถึงวันนี้ การปักปันเขตแดนอย่างถาวรในพื้นที่ใกล้เขาพระวิหารยังไม่เสร็จสิ้น
แต่กลับพบว่าฝ่ายกัมพูชามีความเคลื่อนไหวต่อเนื่อง ทั้งในทางกายภาพ (การขุด การตั้งบ้านเรือนล้ำแดน) และในทางการทูต (ใช้คำพิพากษาศาลโลกและภาพจำทางประวัติศาสตร์)
ในขณะที่ฝ่ายไทยยังคงนิ่งเงียบ ไม่มีการฟ้องกลับหรือเผยแพร่หลักฐานแนวสันปันน้ำที่ชัดเจนในระดับสากลอย่างจริงจังจึงเกิดคำถามสำคัญว่า เราจะยอมให้เส้นที่ธรรมชาติวางไว้ ถูกมือมนุษย์ขุดเปลี่ยนไปอีกนานเท่าไร
แผนที่แนวอ้างอิง “แนวสันปันน้ำจริง”
1. จากผลสำรวจโดยทีมนานาชาติไทย-เยอรมัน แสดงว่าทิศทางน้ำและแนวสันปันน้ำอยู่เหนือจากปราสาทจริง หากใช้แนวนี้ ปราสาทจะตกอยู่ในประเทศไทยแน่นอน
2. แผนที่สากลและเวทีสื่อโลก
3. แผนที่หลายฉบับตั้งแต่ Google Maps จนถึงสื่อระดับโลก มักแสดงปราสาทในฝั่งไทย ซึ่งสะท้อนการยอมรับของนานาชาติในช่วงก่อนปี 2010
4. แนวที่กัมพูชายื่นอ้างใหม่ผ่านการปรับภูมิประเทศ
มีรายงานกรณีกัมพูชาพยายามขุดคูหรือปรับร่องน้ำในพื้นที่เพื่อเปลี่ยนแนวสันปันน้ำให้ชี้เข้าฝั่งไทย จากนั้นนำไปอ้างในเอกสารหรือแม้กระทั่งแผนที่เวทีระหว่างประเทศ (ตัวอย่างการขุดคูวัสดุใกล้แนวที่ถูกกล่าวหาในจังหวัด Prey Vihear)
บทสรุป ใครคือผู้กำหนดเส้นจริง อยู่ที่เราจะเลือกอ่านเส้นไหน?
– ธรรมชาติ (sutural watershed) เป็นแนวทางแบ่งเขตมาตั้งแต่ปี 1904 อย่างถูกต้องตามข้อตกลงระหว่างประเทศ
– มนุษย์วาด (Annex I Map) แม้มีสถานะผูกพัน แต่คลาดจากภูมิประเทศจริง
ศาลโลกจึงใช้เป็นฐานตัดสินเมื่องินความเงียบของไทยถูกตีความว่าเป็นการยอมรับ
– การขุดคู/เรตใหม่ เป็นกลไกสร้างเส้นใหม่ แต่ไม่มีคุณสมบัติเป็นแนวธรรมชาติ แต่อาจเปลี่ยนเกมภูมิศาสตร์ให้ดู “มีเหตุผล” ในเวทีโลก
สิ่งที่รัฐบาลไทยควรตระหนัก
– ประเทศไทยควรรีบเผยแผนที่แนวสันปันน้ำจริง จากข้อมูลทางธรณีวิทยาและสำรวจถึงสาธารณะและเวทีระหว่างประเทศ
– จับตาพฤติกรรมปรับภูมิประเทศริมชายแดน โดยเฉพาะการขุดร่องน้ำหรือคูน้ำ
– ใช้เทคโนโลยี GIS & ดาวเทียม เป็นหลักฐานอ้าง และนำเสนอในกระบวนการศาลโลกครั้งถัดไปเพื่อท้าทายคำตัดสินเดิม
นักวิชาการอิสระ