หน้าแรกทั่วไปอุทาหรณ์ปลั๊กไฟศาลเจ้าที่ ลัดวงจรเกือบทำให้บ้านไฟไหม้ทั้งหลัง ย่าน ประชาอุทิศ

อุทาหรณ์ปลั๊กไฟศาลเจ้าที่ ลัดวงจรเกือบทำให้บ้านไฟไหม้ทั้งหลัง ย่าน ประชาอุทิศ

กดที่นี่เพื่ออ่านข่าว

อุทาหรณ์ปลั๊กไฟศาลเจ้าที่ ลัดวงจรเกือบทำให้บ้านไฟไหม้ทั้งหลัง

วันที่ 25 เมษายน 2568 เวลา 17.57 น.

เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ราษฎร์บูรณะ รับแจ้งมีเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชน ภายในซอยประชาอุทิศ 59 จึงรีบรุดจัดกำลังพร้อมประสานเจ้าหน้าที่ดับเพลิงและกู้ภัยทุ่งครุ พร้อมอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน ( อปพร. เขต ราษฎร์บูรณะ ) และอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เร่งรัดตรวจสอบที่เกิดเหตุทันที

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและอาสาสมัครมาถึงที่เกิดเหตุพบเหตุเกิดภายในบ้านเลขที่ 897 / 148 ซอย ประชาอุทิศ 59 ถนน ประชาอุทิศ แขวง บางมด เขต ทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร ที่เกิดเหตุดังกล่าวเป็นลักษณะอาคารพาณิชย์ สูง 3 ชั้น ปลูกติดกันหลายหลัง แสงเพลิงและกลุ่มควันเกิดขึ้นบริเวณชั้นล่างสุดของตัวบ้านบริเวณทางขึ้นบันได ตรงจุดดังกล่าวเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าที่หรือที่คนไทยเชื้อสายจีนเขาเรียกกันว่า ” ตี่จู้เอี๊ยะ ” บริเวณข้างศาลดังกล่าวพบโต๊ะไม้ตั้งอยู่ 1 ตัว ใต้โต๊ะดังกล่าวมีถ่านอัดแท่งวางเรียงซ้อนกันอยู่ ด้านหลังของกองถ่านดังกล่าวมีปลั๊กไฟต่อพ่วงที่เสียบปลั๊กไฟของศาลเจ้าที่อยู่ แสงเพลิงและกลุ่มควันเกิดขึ้นบริเวณปลั๊กไฟดังกล่าวแล้วลุกลามไปติดกับกองถ่านอัดแท่งจนทำให้มีกลุ่มควันหนาแน่นจนกระทั่งพวยพุ่งออกมาจากนอกตัวบ้านแล้วเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านจึงช่วยกันใช้ถังใส่น้ำ และนำเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงที่มีไว้สำหรับล้างรถต่อพ่วงมาจากบ้านข้างเคียงช่วยกันฉีดน้ำทำการระงับเหตุเอาไว้ได้ก่อนที่อาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจะมาถึง

เเละจากการสอบถาม นางสาว กัน อายุ 50 ปี เป็นคนที่อยู่ข้างบ้านที่เกิดเหตุกล่าวว่าตนอยู่ในบ้านแล้วได้ยินคนที่บ้านฝั่งตรงข้ามเขาตะโกนมาบอกว่าข้างบ้านของตนมีควันขึ้นเต็มบ้านข้างบ้านเลย ตนก็รีบวิ่งมาเปิดประตูดูแล้วก็เห็นไฟกำลังลุกไหม้ก็เลยตะโกนบอกให้ชาวบ้านช่วยกันแจ้งรถดังเพลิงให้หน่อย ตอนที่ตนเห็นครั้งแรกแสงเพลิงและกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากใต้โต๊ะข้างศาลเจ้าตรงบริเวณนั้นเขาน่าจะต่อปลั๊กพ่วงเอาไว้แล้วตรงบริเวณดังกล่าวมีถ่านอัดแท่งกองอยู่อีกด้วย ตอนเกิดเหตุไม่มีใครอยู่ภายในบ้านเจ้าของบ้านออกไปทำงานกันหมด จะมีแค่สุนัขอยู่แค่ตัวเดียว

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการปิดล้อมที่เกิดเหตุเอาไว้แล้วและต้องรอให้เจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียดอีกครั้งถึงจะสรุปสาเหตุของเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างแท้จริงได้ ส่วนภายในที่เกิดเหตุไม่พบผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว

Ad 1
Ad 2